คณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีบัณฑิตผู้สำเร็จการศึกษาเป็นรุ่นแรกของคณะในปีการศึกษา 2529 และได้เข้ารับพระราชทานปริญญาบัตร ในวันที่ 16 กรกฎาคม 2530 ในปีนี้เอง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้มีมติมอบปริญญาศิลปกรรมศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์แก่ครูเจริญใจ สุนทรวาทิน เป็นบุคคลแรกนับแต่ก่อตั้งคณะ

ครูเจริญใจ สุนทรวาทิน เป็นบุตรีของพระยาเสนาะดุริยางค์ (แช่ม สุนทรวาทิน) กับคุณหญิงเสนาะดุริยางค์ (เรือน) บิดาเป็นนักดนตรีไทยที่มีชื่อเสียง รับราชการเป็นเจ้ากรมพิณพาทย์หลวงในรัชกาลที่ 5 ครูเจริญใจถวายตัวเป็นข้าหลวงเรือนนอกในกรมมหรสพครั้งรัชกาลที่ 6 ได้ศึกษาทางดนตรีไทยกับครูผู้ใหญ่หลายท่าน เช่น พระยาประสานดุริยศัพท์ (แปลก ประสานศัพท์) พระยาภูมิเสวิน (จิตร จิตตเสวี) พระเพลงไพเราะ (โสม สุวาทิต) หลวงประดิษฐไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) หลวงไพเราะเสียงซอ (อุ่น ดูรยชีวิน) และ เทวาประสิทธิ์ พาทยโกศล และมนตรี ตราโมท เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 จึงได้ลาออกจากราชการ ต่อมาได้เข้าสอนในตำแหน่งครูผู้สอนประจำชมรมดนตรีไทย สโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (ส.จ.ม.) ตั้งแต่ พ.ศ. 2508 และได้ถวายการสอนดนตรีแด่สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เมื่อครั้งทรงเป็นนิสิตคณะอักษรศาสตร์ ตลอดจนได้เป็นผู้ควบคุมวงและสอนขับร้องในสถาบันและสโมสรต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน เป็นกรรมการสอบคัดเลือกนักเรียนเข้าศึกษาในคณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และเป็นภาคีสมาชิกราชบัณฑิตยสถาน ประเภทวิจิตรศิลป์ สำนักศิลปกรรม เป็นต้น

ครูเจริญใจบันทึกเรื่องราวการรับพระราชทานปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ครั้งนั้น ในหนังสือ “ข้าพเจ้าภูมิใจที่เกิดเป็นนักดนตรีไทย” ความตอนหนึ่งว่า

“…(พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9) ทรงมีรับสั่งให้ข้าพเจ้าเป็นผู้พูดคนต่อไป
รับสั่งว่า “เมื่อตะกี้เห็นร้องเพลงออกเพราะพริ้ง” ข้าพเจ้างง นิ่งลงหมอบกราบ
มีรับสั่งให้ไปพูดที่ไมโครโฟน ตรงข้ามกับที่ประทับยืนห่างกันไม่มาก
ข้าพเจ้าคิดในใจว่าข้าพเจ้าไม่กล้าพูดถึงอะไรทั้งสิ้น นอกจากคิดได้และพูดว่า
“ข้าพระพุทธเจ้ารู้สึกปลื้มปิติยินดีเป็นล้นพ้น ไม่เคยคิดเลยว่าจะได้รับพระกรุณา
ให้มาพูดในที่ประชุมท่านผู้ทรงคุณวุฒิ ข้าพระพุทธเจ้าอายุ 72 ปีได้ทำงานตลอดมา
ข้าพระพุทธเจ้าจะสอนถ่ายทอดวิชาการให้แก่มหาวิทยาลัยนี้ตลอดไป”

จบคำกราบบังคมทูลของข้าพเจ้าแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีรับสั่งว่า “72 ปีหรือ งั้นก็ปีกระต่าย กระต่ายโชคดี มาถ่ายรูปกัน” ข้าพเจ้างงเดินเข้าไปเฝ้าใกล้ ๆ หมอบกราบลงอีกครั้งที่ใกล้พระบาท แล้วนั่งลงตรงนั้น ต่อไปก็มีอาจารย์เติมศักดิ์ (ศาสตราจารย์กิตติคุณ เติมศักดิ์ กฤษณามระ) และ ม.ร.ว.สฤษดิคุณ (ม.ร.ว.สฤษดิคุณ กิติยากร) เข้ามานั่งแถวเดียวกัน

ข้างหลังข้าพเจ้าเป็นองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ เสร็จการถ่ายรูปแล้ว ข้าพเจ้าหมอบกราบลงอีกครั้ง ด้วยความรู้สึกบอกไม่ถูก ข้าพเจ้าจะจดจำพระมหากรุณาธิคุณนี้ไปจนวันตาย ข้าพเจ้าจะไม่มีวันลืม และยิ่งวันต่อต่อมา ความรู้สึกในพระมหากรุณาธิคุณก็ยิ่งเพิ่มล้นเปี่ยมในหัวใจ…”

(พระบรมฉายาลักษ์รัชกาลที่ 9 ฉายพร้อมด้วยสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี วิทยาศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ 2530 และครูเจริญใจ สุนทรวาทิน ศิลปกรรมศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ 2530)

ข้อมูลจาก หอประวัติจุฬาฯ

#หอประวัติจุฬาฯ #ChulaMemorialHall