จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมีการดำเนินโครงการเพื่อบันทึกและอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมเป็นประจำทุกปี ทั้งในส่วนของวัฒนธรรมพื้นบ้านหรือภูมิภาค วัฒนธรรมระดับชาติ และวัฒนธรรมของชุมชนพลัดถิ่น ซึ่งในช่วงปี 2567-2568 มีรายละเอียดดังนี้

มรดกทางวัฒนธรรมพื้นบ้านหรือภูมิภาค

          พิพิธภัณฑ์พระตำหนักดาราภิรมย์ อ.แม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ในความดูแลของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีการดำเนินโครงการเพื่อการอนุรักษ์และสืบรักษามรดกทางวัฒนธรรมพื้นบ้านทางภาคเหนือ หรือที่เดิมเรียกว่า “ล้านนา” เป็นประจำทุกปี

(1) ในช่วงวันคล้ายวันสิ้นพระชนม์ของพระราชชายาเจ้าดารารัศมี วันที่ 9 ธันวาคม ครั้งล่าสุดคือปี 2567 มีการจัดกิจกรรมประเพณีท้องถิ่น กิจกรรมกาด(ตลาดแบบภาคเหนือ) การจัดนิทรรศการ การจัดการแสดงดนตรี การประกวดนาฏศิลป์พื้นเมืองเหนือ เช่น กลองสะบัดชัย ประกวดฟ้อนเล็บ เป็นต้น เพื่อปลูกฝังให้เยาวชนและผู้สนใจมีความรู้ มีความภาคภูมิใจในวัฒนธรรมพื้นถิ่นภาคเหนือของตน ทั้งด้านวัฒนธรรมประเพณี ดนตรี อาหารการกิน และภาษา ทั้งนี้ การดำเนินโครงการดังกล่าวมีการบันทึก จัดเก็บข้อมูลและเผยแพร่ ทั้งในรูปเอกสารสิ่งพิมพ์และทางออนไลน์

(2) ประสานความร่วมมือกับสภาวัฒนธรรมอำเภอแม่ริม อำเภอ และเขตพื้นที่การศึกษา ดำเนินโครงการสืบสานดนตรีนาฏศิลป์และศิลปวัฒนธรรมล้านนา “ต้นกล้าดาราภิรมย์” รุ่นที่ 2 ได้แก่ การตีกลองชัยมงคล การตีกลองสะบัดชัย การตีกลองปู่จา การฟ้อนดาบฟ้อนเจิง และการฟ้อนที ซึ่งเป็นศิลปะการแสดงพื้นเมืองที่สำคัญของล้านนาที่มีพัฒนาการมาอย่างยาวนานหลายศตวรรษ โดยมีเยาวชนเข้าร่วมโครงการกว่า 250 คน มีการถ่ายทอดองค์ความรู้โดยวิทยากรซึ่งเป็นปราชญ์ท้องถิ่น จึงนับเป็นการบันทึก อนุรักษ์ ส่งเสริม พัฒนา เผยแพร่มรดกทางวัฒนธรรมที่ถูกต้องตามแบบฉบับของล้านนาให้คงอยู่สืบไป

    มรดกทางวัฒนธรรมระดับชาติ

    ประเทศไทยมีงานศิลปวัฒนธรรมที่ทรงคุณค่าหลากหลายประเภท ซึ่งในปี 2567-2568 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ดำเนินโครงการบันทึกและเผยแพร่มรดกทางวัฒนธรรมระดับชาติ ดังนี้

    ด้านสถาปัตยกรรม ศิลปวัฒนธรรม และงานพุทธศิลป์

    (1) หนังสือที่ระลึกงานกฐินพระราชทาน  เป็นโครงการที่ทำต่อเนื่องมากว่า 19 ปี โดยจัดทำหนังสือที่ระลึกปีละ 2 เล่ม เล่มเล็ก กล่าวถึง ข้อมูลประวัติความเป็นมาของวัด รวมทั้งศิลปวัตถุและพุทธศิลป์ภายในวัด และพิมพ์ซ้ำหนังสือหายาก เพื่อต่ออายุหนังสือเก่าทรงคุณค่า  ส่วนเล่มใหญ่จะมีความโดดเด่นทั้งด้านเนื้อหาและความสวยงาม ครอบคลุมในทุกมิติ

    ปี 2567 จุฬาฯ จัดทำหนังสือที่ระลึกฯ เกี่ยวกับวัดใหญ่สุวรรณาราม จังหวัดเพชรบุรี พระอารามหลวงในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และมีสถาปัตยกรรมที่งดงาม มีประวัติความเป็นมายาวนาน มีผังการวางรูปแบบวัดและอาคารต่าง ๆ มีพุทธศิลป์ ศิลปะวัตถุ และสถาปัตยกรรมที่งดงาม ความประณีตในการจัดทำหนังสือดังกล่าว จึงทำให้ได้รับรางวัลประเภทสวยงาม จากการประกวดหนังสือของสำนักงานและกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ประจำปี 2568

    (2) ท่องเที่ยวธรรม เป็นรายการนำชมวัดวาอารามที่มีประวัติศาสตร์ สถาปัตยกรรม และพุทธศิลป์น่าสนใจ โดยพระสงฆ์ หรือวิทยากรฆารวาสที่มีความรู้เกี่ยวกับวัดนั้น ๆ นำชมสถานที่ โบสถ์ วิหาร พระพุทธรูปสำคัญ บอกเล่าที่มา ความเป็นไปแก่ผู้สนใจ

    ทั้งนี้ ตั้งแต่มกราคม 2567 ถึง สิงหาคม 2568 ได้ชวนท่องเที่ยวธรรมแล้ว จำนวน 4 แห่ง คือ วัดบวรนิเวศวิหาร, วัดวชิรธรรมาราม อ.มหาราช จ.พระนครศรีอยุธยา, อาสนวิหารอัสสัมชัญ บางรัก, วัดบรมราชากาญจนาภิเษกอนุสรณ์ (วัดเล่งเน่ยยี่ 2)

    ด้านดนตรีไทย

    จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทานแนวพระราชดำริในการอนุรักษ์ดนตรีไทย จึงเป็นที่มาของโครงการ “จุฬาจารึก” ที่มีการดำเนินงานเป็นส่วน ๆ เพื่อสืบทอดองค์ความรู้และศิลปะในการบรรเลงของครูดนตรีผู้ทรงคุณวุฒิของชาติอย่างเป็นระบบ และการบันทึกวงดนตรีและบทเพลงสำคัญต่าง ๆ ทางดนตรีไทย เช่น เพลงพิธีกรรมที่ใช้ในโอกาสสำคัญต่าง ๆ  เพลงเดี่ยวอวดฝีมือ เพลงต่าง ๆ ที่สืบทอดกันมาแต่บรรพบุรุษ เพื่ออนุรักษ์ไม่ให้สูญหาย และบันทึกข้อมูลทั้งหมดในระบบดิจิทัล จัดเก็บเพื่อสามารถสืบค้นเพื่อการศึกษาที่ถูกต้อง ผู้สนใจทุกระดับสามารถสืบค้นได้ที่หอสมุดดนตรีไทย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

    นอกจากนี้ ในปี 2567 มหาวิทยาลัยริเริ่มโครงการจัดตั้งวงมหาดุริยางค์ไทยเยาวชนแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยขึ้น โดยการรับสมัครนิสิตที่มีความรู้ความสามารถทางด้านดนตรีไทยเข้ามาบ่มเพาะเพิ่มเติมประสบการณ์ และเป็นนักดนตรีประจำของมหาวิทยาลัย เพื่ออนุรักษ์และเผยแพร่ดนตรีและนาฏศิลป์ไทยไว้เป็นมรดกของชาติและนานาชาติต่อไป

    1) งานของโครงการ “จุฬาจารึก” ได้แก่

    (1.1) โครงการบันทึกข้อมูลนักดนตรีไทยอาวุโส ระยะที่ 9 จัดเก็บข้อมูลนักดนตรีไทย ในระดับทรงคุณวุฒิ และเชี่ยวชาญ โดยเริ่มต้นจากศิลปินอาวุโสสูงไล่เรียงลงมาตามลำดับ โดยจัดเก็บทั้งข้อมูลด้านประวัติบุคคล ประวัติการสืบทอดและองค์ความรู้ทางดนตรีไทย  บันทึกไว้ในรูปแบบบันทึกวีดิทัศน์สัมภาษณ์ และการบรรเลงตัวอย่างเพลงสำคัญที่เป็นลักษณะเฉพาะของแต่ละท่าน  โดยได้รับความร่วมมือจากทั้งหน่วยงานต้นสังกัด อาทิ กรมศิลปากร กองดุริยางค์ของสี่เหล่าทัพ วงดนตรีไทยกรมประชาสัมพันธ์ และวงดนตรีไทยกรุงเทพมหานคร และศิลปินอิสระ เป็นต้น ปัจจุบันมีข้อมูลศิลปินที่เสร็จสมบูรณ์แล้วนับตั้งแต่เริ่มต้นโครงการ รวม 167 ท่าน และมีแผนงานที่จะดำเนินการโครงการนี้ต่อเนื่องทุกปี

    (1.2) โครงการนานาสาระดนตรีไทย ระยะที่ 4 บันทึกและเผยแพร่ เทคนิคและวิธีการ “สร้างและซ่อม” เครื่องดนตรีไทยและส่วนประกอบต่าง ๆ ของเครื่องดนตรี ซึ่งล้วนเป็นองค์ความรู้ที่สืบต่อกันในสืบสายสกุลหรือในสำนักดนตรี ด้วยการจดจำที่สืบทอดกันโดยวิธีแบบมุขปาฐะ เพื่อเป็นการป้องกันการสูญหายของความรู้ที่สำคัญในทุกแง่มุม จึงเริ่มดำเนินการจัดเก็บ บันทึกอย่างละเอียดและส่วนหนึ่งจัดทำเป็นคลิปวีดิทัศน์เผยแพร่ทางออนไลน์เพิ่มเติมในระยะที่ 4 รวมเป็นทั้งหมดจำนวน 15+2 ตอน และมีแผนงานที่จะดำเนินการโครงการนี้ต่อเนื่องในปีงบประมาณถัดไป

    (1.3) โครงการบันทึกการแสดงดนตรีไทย รายการ “จุฬาวาทิต” การแสดงดนตรีไทยรายการ “จุฬาวาทิต” จัดแสดงเป็นประจำทุกศุกร์แรกของเดือน (เดือนเว้นเดือน / ปีละ 6 ครั้ง) เป้าหมายของโครงการคือการให้พื้นที่กับวงดนตรีไทยแบบฉบับดั้งเดิม ได้มีเวทีเพื่อเผยแพร่ และฝึกฝนสร้างประสบการณ์แก่นักดนตรีไทยจากรุ่นสู่รุ่น และจัดเป็นรายการแสดงอย่างจริงจัง โดยเปิดให้ผู้สนใจเข้าชมในหอแสดงดนตรี และถ่ายทอดสดทาง Facebook และ Youtube และบันทึก จัดเก็บไฟล์การแสดงไว้ทุกครั้ง ตั้งแต่ครั้งแรกในเดือนธันวาคม 2531 นับจนถึงปัจจุบัน ในเดือนกันยายน 2568 การแสดงดนตรีไทยรายการ “จุฬาวาทิต” ได้จัดแสดงมาถึง 240 ครั้งแล้ว

    (1.4) โครงการบันทึก “เพลงพิธีกรรม” ระยะที่ 3 เพลงพิธีกรรมเป็นมรดกตกทอดจากบรรพบุรุษ รุ่นสู่รุ่น ควรค่าแก่การบันทึกไว้เพื่อการเผยแพร่และเป็นกรณีศึกษา ซึ่งว่าด้วยเรื่องของวงดนตรี เพลง ดนตรีของแต่ละวง แต่ละกลุ่มเพลง ที่นำมาใช้ในโอกาสต่าง ๆ  ทั้งในงานมงคลอันเกี่ยวเนื่องกับงานพระราชพิธี เช่น พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ พระราชพิธีถวายผ้าพระกฐิน หรือพิธีกรรมทางศาสนาตามวิถีชีวิตของคนในสังคมไทย ทำการบันทึกในนามของ “วงจุฬาวาทิต” วงดนตรีไทยประจำมหาวิทยาลัย  ควบคุมการฝึกซ้อมโดย อาจารย์บุญช่วย โสวัตร ผู้เชี่ยวชาญด้านดนตรีไทย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

    2) วงมหาดุริยางค์ไทยเยาวชนแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีการบันทึกและอนุรักษ์ดนตรีและนาฏศิลป์ไทยโดยการออกแสดงทั้งในและต่างประเทศ ในปี 2567-2568 ดังนี้

    (2.1) งาน “รวมใจภักดิ์ เฉลิมทศมจักรีนฤบดินทร์ : มหาดุริยางค์ไทย-สากล เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2567

    (2.2) เข้าร่วมงาน 25th Thai Festival Tokyo 2025 ที่ประเทศญี่ปุ่น วันที่ 10-11 พฤษภาคม 2568ซึ่งเป็นงานเทศกาลไทยที่ใหญ่ที่สุดในต่างประเทศและมีผู้เข้าร่วมงานกว่าสองแสนคนรายการแสดงประกอบด้วยบทเพลงไทยสร้างสรรค์ 4 ภาค และผลงานเพลงไทยที่ประพันธ์และเรียบเรียงขึ้นใหม่รวม 18 เพลง เช่น  โหมโรงเฉลิมวชิรราช ระบำค้างคาว โดย ดร.สิริชัยชาญ ฟักจำรูญ ศิลปินแห่งชาติและศิลปินแห่งมหาวิทยาลัย, เพลงชุดเจ้าพระยา สายน้ำแห่งกาลเวลาและอารยธรรม โดย รศ.ดร.ยุทธนา ฉัพพรรณรัตน์ รองอธิการบดี จุฬาฯ รวมถึงการแสดงอื่น ๆ เช่น ฟ้อนที ตาลีกีปัส เซิ้งโปงลาง โห่กลองยาว-ค้างคาวกินกล้วย ระบำสุขสันต์วันสงกรานต์ เป็นต้น

    (2.3) จัดแสดงบทเพลงชุด “เจ้าพระยา: สายน้ำแห่งกาลเวลาและอารยธรรม” ในการแข่งขันภูมิศาสตร์โอลิมปิกระหว่างประเทศ ครั้งที่ 21 เพื่อเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมไทยบทเพลงดังกล่าวถ่ายทอดความสำคัญของแม่น้ำเจ้าพระยาในฐานะสัญลักษณ์แห่งความสงบใต้ร่มพระบารมีแห่งราชวงศ์จักรี ผ่านบทเพลงเรือและภาพเรือพระราชพิธีอันงดงาม โดยเฉพาะเรือสุพรรณหงส์ ซึ่งสะท้อนบทบาทของไทยในเวทีการค้าระหว่างประเทศและความเจริญรุ่งเรืองทางวัฒนธรรม

    (2.4) จัดการแสดงนาฏศิลป์ไทยชุด “เจ้าพระยา” ในงาน The 16th CUPT-CRISU Conference งานประชุมสัมมนาระหว่างที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทยและประเทศอินโดนีเซีย ณ นครนูซันตารา เมืองหลวงใหม่แห่งสาธารณรัฐอินโดนีเซีย เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2568

    (2.5) แสดงในงานฉลอง 60 ปี ความสัมพันธ์ไทย–เปรู เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2568 ณ โรงละครเทศบาลกรุงลิมา (Teatro Municipal de Lima) โรงละครเก่าแก่และทรงเกียรติที่สุดแห่งหนึ่งของสาธารณรัฐเปรู และวันที่ 17 กันยายน 2568 จัดขึ้น ณ โบราณสถาน Huaca Pucllana เขต Miraflores กรุงลิมา ซึ่งเป็นแหล่งโบราณคดีสำคัญอายุเก่าแก่กว่า 1,500 ปี

    มรดกทางวัฒนธรรมของชุมชนพลัดถิ่น

    หอสมุดดนตรีไทยดำเนินโครงการบันทึกข้อมูลทางวัฒนธรรมที่หลากหลาย โดยในปี 2568 นี้ เก็บข้อมูลวัฒนธรรม “มอญ” ซึ่งชาวมอญอพยพพลัดถิ่นเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารในประเทศไทย ตั้งแต่ประมาณช่วงสมัยรัชกาลที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ (พ.ศ. 2367) การเข้ามาครั้งนั้นทำให้ศิลปวัฒนธรรมของชาวมอญได้เผยแพร่และปรับตัวร่วมกับวัฒนธรรมท้องถิ่นจนถึงปัจจุบัน

    การบันทึกข้อมูลครั้งนี้เน้นการเก็บข้อมูลทางด้านวัฒนธรรมและการละเล่นของชุมชนชาวมอญ “บางไส้ไก่” แขวงหิรัญรูจี เขตธนบุรี กรุงเทพมหานคร ทั้งนี้ ได้เก็บข้อมูลการขับร้องเพลงสะบ้ามอญ และอื่น ๆ จากครูอุษา แสงไพโรจน์ ผู้สืบเชื้อสายชนชาติมอญ และเป็นศิลปินที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่ง